หน้าเว็บ

จำนวนผู้เข้าชมเว็บบล็อกรวม

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

บุคคลที่สถิตในใจของคนไทย

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/541/30541/images/20070517_king01.gif

" เราจะครอง แผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม "
พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเสด็จขึ้นครองราชย์ในปีพุทธศักราช 2489 ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการไว้ว่าดังนี้ และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาเป็นเวลากว่า60ปีแล้ว ท่านทรงตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรมอย่างมิเคยเสื่อมคลาย

ตลอดระยะ เวลากว่า60ปีที่ผ่านมา ภาพที่คนไทยทุกคนเห็นอยู่ประจำคือ ท่านทรงงานหนักเพื่อประเทศไทย เพื่อประชาชนชาวไทยมาตลอดเวลา ไม่ว่าจะลำบากเท่าใด จะเป็นสถานที่ที่ทุรกันดารเพียงใด มีความอันตรายแค่ไหน แต่หากเป็นสถานที่ที่ซึ่งมีประชาชนที่ประสบความทุกข์ ความลำบาก ท่านก็ไม่รีรอที่จะเสด็จไปหาประชาชนของท่าน ท่านยอมเหนื่อย ยอมลำบาก เพียงเพราะต้องการให้ประชาชนของท่านได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องลำบาก

แล้วเราล่ะ? เราเคยทำอะไรให้ท่านมีความสุขบ้าง ตอนที่ผมพิมพ์บทความนี้ พ่อหลวงของเราพึ่งมีพระชนมายุ80พรรษาได้เพียง4วันเท่านั้น คุณลองนึกถึงคนธรรมดาที่มีอายุ80ปีดูนะครับ ตอนนี้พวกเค้าคงอยู่กับบ้าน มีลูกมีหลานคอยเลี้ยงดู ไม่ต้องออกมาทำงาน
แต่ไม่ใช่กับพ่อหลวงของเรา ครับ ท่านยังคงทรงเหนื่อยเพื่อประชาชนของท่าน แล้วท่านจะต้องเหนื่อยไปอีกนานแค่ไหนถึงพอ เมื่อไรพวกเราคนไทยถึงจะมีจิตสำนึกและคิดกันได้เสียที

พ่อหลวงของ เราทรงทำทุกอย่างเพื่อพวกเรา ท่านทรงใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ถ้าพวกคุณเคยได้อ่านเกี่ยวกับท่านมาบ้างคงจะรู้ว่าท่านนั้นทรงประหยัดมาก เพียงใด คุณเคยเห็นรูปยาสีพระทนต์ของท่านรึเปล่า? เคยเห็นรูปรถส่วนพระองค์หรือไม่? แล้วถ้าย้อนกลับมาดูที่ประชาชนของท่านล่ะ
ครับ คนไทยปัจจุบันเห็นแก่ตัว น้ำที่เรียกว่าน้ำใจเริ่มแล้งขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกๆองค์กรมีแต่การโกงกินกันเพื่อประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงส่วนรวม ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ไม่ประหยัดทรัพยากร เข่นฆ่ากันทุกวัน รู้ไหมว่าทำให้พ่อหลวงของเราเสียใจมากน้อยเพียงใด ปากของทุกคนพูดแต่เพียงว่ารักในหลวง รักในหลวง แต่คนที่พูดแล้วแสดงออกจริงๆ ถ้าสุ่มคนมาซักล้านคน จะมีถึง100คนรึเปล่าผมยังไม่แน่ใจเลย คุณรักและบูชาในหลวงกันก็เป็นสิ่งดี แต่ท่านไม่ได้ต้องการให้พวกเราบูชาท่านนะครับ ท่านต้องการให้พวกเราทำตามท่าน พวกคุณบูชาท่านอย่างเดียวแต่ไม่ทำตามมันก็ไร้ประโยชน์

คุณลอง หลับตาด้านขวาดูนะครับ แล้วมองไปรอบๆ ครับ หลายคนคงรู้แล้วว่าท่านต้องเสียพระเนตรข้างขวาไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อมีพระชนมายุเพียง20พรรษา แล้วลองนึกดูว่า มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งต้องทรงงานหนักในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของปวงชนชาว ไทยโดยมองเห็นเพียงพระเนตรข้างซ้ายข้างเดียวมาตลอดเวลากว่า60ปี
แล้ว คุณรู้รึเปล่าครับว่า แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

นี่แหละครับ พ่อหลวงของพวกเราคนไทย ท่านทรงเป็นห่วงเป็นใยและคอยคิดถึงประชาชนของท่านตลอดเวลา แล้วเมื่อไรล่ะครับ ที่พวกเราจะได้ทดแทนพระคุณของท่าน เมื่อไรที่พวกเราจะทำอะไรเพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อย และเมื่อไรคนไทยทุกคนจะคิดกันได้ซักที

ผมขอนำส่วนหนึ่งจากบทความที่ผมเคยอ่านเจอ แต่จำไม่ได้ว่าอ่านเจอที่ไหน แต่นี่ผมนำมาจากเมลที่ผมเก็บไว้

.....สิบสองปีที่ผ่านมา......
พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจเพราะทรงงานหนักเกินไป ในขณะเดียวกัน สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนักอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่นกัน เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงเยี่ยมพระราชชนนีไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดใหญ่ถวาย พระหัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระอุระ และในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งทรงถือม้วนแผนที่กรุงเทพฯ เพราะน้ำกำลังท่วมกรุงอยู่
แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่?
เราสร้างค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุด
เราโกงทุกครั้งที่มีโอกาส
เราเรียกร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ “สิทธิ” แต่ลืมคำว่า “หน้าที่”
เรากำลังฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้
เราสร้าง “กฎหมู่” ให้เหนือ “กฎหมาย”
เราเดินขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย
เราก้าวร้าวต่อกัน เราแตกแยกกัน
และทั้งโลกกำลังจับตามองเราอยู่
เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา จะทรงเสียพระทัยเพียงใด?
80 ชันษาของพระองค์ท่าน หากเปรียบกับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ ได้รับการดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก หรือกระทบกระเทือนใจแต่อย่างใด
แต่กลับเป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษาของพระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวายการดูแลของคณะแพทย์
แตพระองค์ก็ยังทรงพัฒนาประเทศ

เอามาจากเว็บอื่น นำมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านสำหรับใครที่อ่านแล้วก็ ขออภัยที่ซ้ำ

หวาน ดอกไม้ กับ วาเลนไทน์

http://minddd38888.files.wordpress.com/2010/02/news_valentine.jpg



.. ดอกไม้ " วันวาเลนไทน์ " ..


มนุษย์ ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราอาจจะคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่สามารถใช้สื่อความหมายเฉพาะความรักของหนุ่ม สาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ดอกไม้แต่ละชนิดสามารถสื่อความรักได้หลาย รูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย

กุหลาบตูม
กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย
กุหลาบบาน
กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น
กุหลาบสีดำ
กุหลาบดำ หมายถึง ความรักนิรันดร์
redrose
กุหลาบ แดง (red rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ" การให้ดอกกุหลาบแดงกับคนที่รักความ หมายถึงความรักอันลึกซึ้ง จริงจัง กุหลาบแดงจึงมักจะเป็นดอกไม้ ที่ชายหนุ่มให้หญิงสาวที่ตนเองตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน
whiterose
กุหลาบ ขาว (white rose) : สีขาวเป็นสีแห่งความบริสุทธ์ กุหลาบขาวจึงแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ดังนั้นมันจึงสามารถใช้แทนความรักของคนต่างวัย ความรักต่อพ่อแม่ เพื่อน หรือคนที่เรารู้สึกดีด้วยอย่างบริสุทธิ์ใจได้
pinkrose
กุหลาบ ชมพู (pink rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน การให้ดอกกุหลาบสีชมพูสามารถแสดงถึงความรัก ที่กำลังเริ่มงอกงามในใจ และสามารถพัฒนาต่อไปเป็นความรักที่ลึกซึ้งได้
yellowrose
กุหลาบ เหลือง (yellow rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส กุหลาบสีเหลืองถูกใช้สำหรับแทนความรักแบบเพื่อน และความ สนุกสนานรื่นเริงจึงมักจะนำมันมาประดับตะกร้าสำหรับเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อทำให้คนป่วยรู้สึกสดชื่นรื่นเริงขึ้นนั่นเอง
redtulib
สำหรับ ดอกไม้อื่น ๆ ที่ถูกมาใช้แทนความหมายแห่งความรักก็มี ดอกทิวลิบสีแดง (red tulib) ชาวตะวันตกใช้มันแทนการประกาศความรัก อย่างเปิดเผย คล้าย ๆ กับดอกกุหลาบแดง
pink carnation
ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู (pink carnation) ใช้สื่อความหมายว่า "ถึงอย่างไรผมก็ยังรักคุณ" หรือ "คุณยังอยู่ในหัวใจฉันเสมอ"
white lilly
ดอก ลิลลี่สีขาว (white lilly) แสดงความรักแบบบริสุทธ์ เช่นเดียวกันกับดอกกุหลาบขาว นอกจากนั้นลิลลี่สีขาวยังแสดงถึงความรักแบบอ่อนหวานจริงใจ และเทอดทูน และมักถูกใช้แทนประโยคที่ว่า "ฉันรู้สึกดี ๆ ที่ได้ได้รู้จัก และอยู่ใกล้คุณ "
forget me not
สำหรับดอก forget-me-not มีความหมายตรงตัวคือได้โปรดอย่าลืมฉัน และอย่าลืมความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กัน
sunflower
มา ถึงดอกไม้ที่เห็นได้ทั่วไปในบ้านเราบ้างดอกทานตะวัน (sunflower) มีความหมายถึงความรักแบบคลั่งไคล้ ความรักแบบบูชา แต่สำหรับชาวตะวันตก ดอกทานตะวันจะหมายถึงความเข้มแข็งอดทน จึงสามารถใช้แทนความรักที่ต้องฝ่าฟันกว่าจะได้ความรักมา

จะ เห็นได้ว่าดอกไม้เป็นประดิษฐกรรมทางธรรมชาติที่มนุษย์เรานำมาใช้เป็นสื่อแทน ความหมาย แห่งความรักได้หลายรูปแบบ การมอบดอกไม้ให้กับคนที่เรามีความรู้สึกพิเศษจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ... Vlentine นี้คุณมีดอกไม้ในใจที่จะให้คนที่คุณรักแล้วหรือยัง
วันวาเลนไทน์ในประเทศญี่ปุ่น วันวาเลนไทน์กับชอคโกแลต ช๊อกโกแล็ต

. ช็อคโกแลตกับวันวาเลนไทน์ ..


ใน วันวาเลนไทน์ที่ประเทศญี่ปุ่น ฝ่ายหญิงนิยมที่จะมอบชอคโกแลตให้กับฝ่ายชาย (ส่วนผู้ชายจะมอบของขวัญตอบแทนให้กับผู้หญิงในวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งเรียกวันนั้นว่า White Day หรือ วันสีขาว) ความนิยมการมอบชอคโกแลตนั้นเกิดขึ้นมาจากการใช้เครื่องมือทางการตลาดของ บริษัทผลิตชอคโกแลต ผู้หญิงญี่ปุ่นถูกกระตุ้นให้บอกรักอย่างชัดเจนกับผู้ชายโดยการมอบชอคโกแลต และของขวัญชนิดอื่นในวันที่ 14 กุมภาของทุกปี

ร้านขายของชำ ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อจะขายชอคโกแลตที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น ชอคโกแลตที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้ามาจากต่างประเทศ มากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายชอคโกแลตทั้งปีนั้น จะมาจากช่วงวันวาเลนไทน์ เหตุก็เพราะผู้หญิงแดนอาทิตย์อุทัยจะซื้อชอคโกแลตเพื่อแจกให้กับทั้งเพื่อน ร่วมงาน หัวหน้า เพื่อนชาย พี่ชาย คุณพ่อ สามี แฟน และผู้ชายที่เธอรู้จักและมีความยินดีที่จะมอบให้

ชอคโกแลตที่มอบให้กับผู้ชายที่เธอไม่ได้หลงรัก ถูกเรียกว่า “giri-choco” (แปลว่า ชอคโกแลตที่ให้ตามหน้าที่ หรือ ชอคโกแลตตามมารยาท) เช่น ชอคโกแลตที่มอบให้กับเพื่อนร่วมงาน หรือกับหัวหน้างานเป็นต้น

ผู้ชายส่วนใหญ่จะรู้สึกอับอายอย่างมาก ถ้าพวกเขาไม่ได้รับชอคโกแลตในวันนี้ ผู้หญิงจึงพยายามมอบ giri-choco กับผู้ชายที่รู้จักทุกคน เพียงเพื่อไม่ให้ผู้ชายต้องมีความรู้สึกว่าตัวเขานั้นไม่ได้รับการใส่ใจ ราคาโดยเฉลี่ยของ giri-choco ตกประมาณอันละ 100 – 300 เยน

ผู้หญิงบางกลุ่มมีแนวโน้มที่จะให้ของขวัญพิเศษกับคนที่ตนรัก เช่น เนคไทค์ และเสื้อผ้าควบคู่ไปกับชอคโกแลตด้วย ชอคโกแลตประเภทนี้จะเรียกว่า "honmei-choco." (แปลว่า ผู้ชนะที่คาดหวังไว้ prospective winner) Honmei-choco จะมีราคาที่แพงกว่า giri-choco และบางครั้งจะเป็นชอคโกแลตทำเอง ซึ่งผู้ชายที่ได้รับนั้นถือว่าโชคดีมาก

ชอคโกแลตญี่ห้อดังของญี่ปุ่นได้แก่ Glico, Meiji และ Morinaga แต่ผู้ชายบางคนมักจะพอใจกับชอคโกแลตทำเองมากกว่า เพราะมันจะแสดงออกถึงความตั้งใจของคนทำนั่นเอง

บทความจาก Setsuko Yoshizuka

คติประจำใจ

"คิดก่อนทำ  จำกฏเกณฑ์  เร่งปฏิบัติ

เรามิใช่อัจฉริยะ  ใช้ความมุมานะเป็นจุดยืน"

 ผมมีบทความที่เกี่ยวกับ "ความมานะ"  มาฝากคับ
 ซึ่งนำมาจาก  http://www.siamdara.com/ColumnDetail.asp?cid=237
มีเนื้อความดังนี้






ศุกร์ ที่ผ่านมา (20 มี.ค.) ผมได้ขออนุญาต ดร.โสภณ พรโชคชัย นำข้อเขียนของท่าน ซึ่งเขียนถึงความมานะของคนญี่ปุ่น ที่หมู่บ้านอุมะจิ อยู่บนเกาะชิโกกุ มาให้ท่านผู้อ่าน ''สยามดารา'' ซึ่งบางท่านอาจกำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจ เพื่อเป็นทางออก-ทางคิดทางหนึ่ง..



ยังไม่จบ...จึงขอนำเสนอต่อ
 
รัฐบาล ญี่ปุ่นส่วนกลาง นำนโยบายให้ประชาชนชาวสวน ชาวไร่ญี่ปุ่นแก้ปัญหาการปลูกส้มยูสุ ชาวเกษตรทุกคนน่าจะเชื่อรัฐบาล ก็ปลูกส้มกันใหญ่โต...เกือบทุกหมู่บ้านปลูกส้ม...ผลก็คือ...ส้มมันก็ล้นตลาด
 
รวมทั้งส้มของหมู่บ้านอุมะจิด้วย...
 
ชาวบ้านอุมะจิแย่อยู่แล้ว...มาเจอส้มล้นตลาดอีก คน...จนอยู่ก็ยิ่งจนหนัก...
 
ถ้าประชาชนบางประเทศ เจอแบบนี้เขาคงเดินขบวนเอาส้มมาเทกลางถนน แล้วก็เปิดถนนประท้วงแล้ว
 
แต่ชาวบ้านอุมะจิไม่ทำเช่นนั้น
 
พวกเขาเรียกประชุมกัน...เมื่อพึ่งรัฐบาลแล้วพัง...ก็ต้องพึ่งตัวเอง...
 
หมู่บ้านอุมะจิ อยู่ห่างตัวเมืองใหญ่เพียงร้อยกว่ากิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางมาประมาณ 2 ชั่วโมง...
 
ชาวบ้านมองไปรอบตัว...มองให้รู้ว่าหมู่บ้านเรามีอะไรบ้าง...
 
มีไม้...
 
มีส้ม...
 
แล้วก็มี...น้ำแร่ร้อน...
 
ขายไม้เจ๊งไม่เป็นท่า...ขายส้มก็เจ๊ง...เหลืออีกอย่าง...น้ำแร่ร้อน...
 
ลองเอาน้ำแร่ร้อนออกมาขายซิ...
 
เปล่า...ไม่ใช่เอามา ''กรอกขวด'' ขายมันง่ายไป...
 
ลงทุนอีกหน่อยซิ...ลงทุนเปิดโรงแรมเล็กๆ...แล้วให้คนในเมืองมาพัก...เพื่ออาบน้ำแร่ร้อน...
 
คำถามของชาวบ้านต่อมา...แล้วจะให้คนในเมืองรู้ได้อย่างไรว่า...เรากำลังเปิดโรงแรมให้คนญี่ปุ่นมาอาบน้ำแร่ร้อน...
 
คำตอบคือ...ต้องโฆษณา...
 
ไอ้การโฆษณานั้น...ก็ไม่ใช่ไปกราบไหว้วิงวอนขอให้เขาโฆษณาฟรี-ฟรี...ต้องระดมทุน...ทำโฆษณาสินค้าแบบทำธุรกิจกันเลย...
 
ครับ... ชาวบ้านหมู่บ้านอุมะจิ แม้จะยากจนจะแย่อยู่แล้ว เมื่อเห็นดีด้วยต่างก็ระดมทุนทุบกระปุกบ้าง หยิบยืมเงินญาติพี่น้องบ้าง ธนาคารบ้าง เอามาลงขันลงทุนกัน
 
แต่ก็มีคนค้านนะ...จนอยู่ แล้วถ้าลงทุนผิดพลาดมิหมดตัวกันหรือ...พอเพียงดีกว่าน่า...มีน้อยใช้น้อย... รอให้เศรษฐกิจรอบตัวเราดีขึ้น...แล้วเราก็ดีตามไปเอง...
 
คน ค้านน้อยกว่าคนสู้...คนญี่ปุ่นเขามีวินัย มีประชาธิปไตย...เสียงส่วนน้อยมีน้อยกว่าเสียงส่วนใหญ่...เสียงสู้-สู้... ช่วยเหลือตัวเองมากกว่าพอเพียง รอให้รอบตัวเขาดีแล้วดีตามเขา...
 
หลังจากทำโฆษณา คนในเมืองใหญ่แห่กันมาที่หมู่บ้านอุมะจิ นับหมื่นๆ คน มาเช้ากลับเย็นบ้าง มาค้างคืนบ้าง
 
เมื่อ มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยววันละนับพันคน...ชาวบ้านก็เอาไม้มาแกะ และเอาผลส้มมาขายบ้าง เอามาคั้นเป็นน้ำส้มขาย...ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า...จนกลายเป็นสินค้าส่งออกไป ขายนอกหมู่บ้าน เพราะนักท่องเที่ยวบางคนเป็นนักธุรกิจ
 
ชาวหมู่บ้านอุมะจิพลิกเศรษฐกิจให้กับตัวเอง เพราะความคิดของคนในหมู่บ้านช่วยกัน
 
แต่ ความร่ำรวย ความสำเร็จของชาวบ้านอุมะจิ ไม่ใช่แบบมวยวัดนะครับ เป็นการจัดธุรกิจแบบมีระบบ...ไม่น่าเชื่อว่า...ชาวบ้านจะทำได้...เขามี กลยุทธ์ดังนี้ครับ...
 
1. เขาขายตรงต่อผู้ซื้อ...ติดต่อตรงระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค
 
2. วิจัยผลิตภัณฑ์ แต่เดิมผลิตผลส้ม ผลิตน้ำส้มเข้มข้น ต้องเอาไปละลายน้ำก่อนดื่ม คนซื้อไปเกิดปัญหา เขาจึงวิจัยคิดสูตรน้ำส้มพร้อมดื่มทันที...นี่คือผลทางวิจัยของชาวบ้าน
 
3. พวกเขาไปออกบูทส่งเสริมการขาย
 
4. ชาวบ้านลงทุนจ้างมืออาชีพมาช่วย (ไม่ใช่มาขอฟรี) ออกแบบฉลากหีบห่อ
 
5. พวกเขาลงทุนโฆษณาไม่ใช่ขอฟรี เขาลงทุนโฆษณาทีวี โดยเสียเงิน ไม่ใช่ไปวิงวอนขอโฆษณาฟรี
 
6. พวกเขาสานสัมพันธ์กับผู้ที่มาเที่ยวในหมู่บ้าน เขาจะขอที่อยู่ วันเกิด แล้วก็ส่งบัตรอวยพรไป
 
มีอยู่อย่างหนึ่งที่คิดกันไม่ถึงคือ
 
ถนน เข้าหมู่บ้านตามปกติคับแคบเป็นหมู่บ้านชนบท...ทีแรกชาวบ้านก็อยากขยาย...แต่ ปรากฏว่า...นักท่องเที่ยวชอบบรรยากาศ บอกว่าเป็นชนบทดี...ชาวบ้านก็เลยยอมลำบากรักษามันไว้
 
นี่แหละครับ...เชื่อผมเถอะน่า...วันนี้...เราพึ่งใครไม่ได้แล้ว...กราบไหว้เทวดา-เทวดาก็ช่วยไม่ได้...
 
นอกจาก...เราต้องช่วยตัวเอง!

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประกาศผล มข. เลื่อนเป็นวันที่ 13 ธันวาคม

เลื่อนประกาศผลรับตรงฯ ปี 2554 ไปเป็นวันที่ 13 ธันวาคม 2553
เนื่องจาก สทศ.
ตรวจคะแนนวิชา Pat2 และ Pat3 ใหม่
ประกาศผลฯ ทาง Internet เท่านั้น
ไม่มีการติดรายชื่อที่บอร์ด
{ข้อความจาก http://reg2.kku.ac.th/eregistation/index.asp}